วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

5 . สุสาน King of Sidabutar



 Tomb of King Sidabutar 



          สุสาน  King Sidabutar  ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Tomok เป็นสุสานแห่งตระกูลราชาจอมขมังเวทย์ ที่กล่าวกันว่า Oppu Ratu Sidabutar มีเวทย์มนต์ สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ มีคาถาแกร่งกล้า เป็นที่ยำเกรงของชาวเผ่าบาตักทั้งหมด โดยร่างของท่านได้เก็บรักษาไว้ในโลงพระศพหิน ซึ่งเป็นอันที่มีการแกะสลักรูปพระพักตร์ของพระองค์

          ในสุสานมีโลงศพหินเรียงรายตั้งอยู่หลายขนาด แต่โลงที่สำคัญคือโลงพระศพของกษัตริย์สามองค์ คือ 1. Oppu Ratu Sidabutar ราชาจอมขมังเวทย์ 2. Oppu Solompuan Sidabutar องค์ที่สองนี้มีคู่หมั้นที่งดงามเป็นที่หมายปองของผู้นำชนเผ่าอื่นชื่อ อันติงมาไลลา (Anting Malela By Sinaga) คงเพราะความงามเป็นเหตุทำให้ถูกเวทย์มนต์จนเป็นบ้า หนีหายเข้าป่าไปตามหาไม่เจอ เมื่อกษัตริย์องค์ที่สองสิ้น จึงแกะสลักหินรูปนางไว้บนฝาโลงพระศพ โลงพระศพของกษัตริย์องค์ที่สองนี้มักจะมีผู้คนไปอธิษฐานขอพรอยู่เสมอ ส่วนวิธีอธิษฐานนั้นก็ให้กระซิบริมพระกรรณของโลงพระศพ และ 3.  Ompu Sor: Buntu Sidabutar เป็นกษัตริย์ที่เปลี่ยนการนับถือภูต ผี มานับถือศาสนาคริสต์


                     

          สำหรับโลงหินและรูปหินแกะสลักที่เรียงรายข้างๆ นั้น ก็ล้วนแต่เป็นผู้รับใช้ , บอดี้การ์ด, และผู้หญิงที่ท่านรัก


        ตามหลักฐานมีการศึกษาว่าชาวบาตักนั้นมาจากที่ไหนมีการศึกษาโดย Mr. Achim Sibeth ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ Batak Sculpture  สันนิษฐานว่าชาวบาตักมีสืบเชื้อสายมาจากคน Austronesians และหรือที่รู้จักว่ากลุ่มชาว Proto-Malay ( the first Malays ) หรือที่เรียกว่าคน Mongoloid เข้ามาอาศัยในพื้นที่เมื่อประมาณ 6000 ปีที่แล้ว ซึ่งอพยพย้ายถิ่นมาจากทางตอนใต้ของประเทศจีนก็คือ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน

  
รูปแกะสลักไม้และหินของชาวบาตัก ขึ้นชื่อมาก ส่วนใหญ่ก็จะแกะสลักเป็นรูปคน หรือรูปหน้าของเทพเจ้า  แต่ก่อนวัสดุมุงหลังคาจะเป็นหญ้าแห้งมัดเป็นตับ แต่ปัจจุบันใช้สังกะสี


 Stone Chairs , Samosir Island 

         หมู่บ้านอัมบาริต้า ( Ambarita ) ห่างจากหมู่บ้านตุ๊กๆ ( Tuk Tuk ) ประมาณ 5 กม.นี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า  “ Stone Chair of King Siallagan ” ภายในจะมีทั้งบ้านกษัตริย์โบราณ ลานประชุม ลานพิพากษา และลานประหาร ซึ่งลานต่างๆจะทำมาจากหินภูเขาไฟ ลานพิพากษาจะมีชื่อเรียกว่า “ Siallagan Ambarita ”
          ทางเข้าหมู่บ้านมีรูปสลักเป็นคนหน้าตาน่ากลัว ภายในจะมีบ้านโบราณสไตล์บาตักปลูกเรียงกันเป็นแถวๆหลายหลัง    บ้านทุกหลังจะมีบันไดทางขึ้นตรงกลาง ชั้นใต้ถุนจะไว้เลี้ยงสัตว์และเก็บพืชผลทางการเกษตร ก่อนขึ้นบ้านทุกคนจะต้องกล่าวคำว่า “ Horas ” อ่านว่า “ โฮร่า ” จะต้องเปล่งเสียงคำนี้ดังๆ 3 ครั้ง เพื่อทำความเคารพ บ้านหลังใดมีภรรยามาก สังเกตได้จากจำนวนเต้านมที่แกะสลักจากไม้ที่อยู่หน้าบ้าน หากมีมากจะแสดงถึงฐานะที่มั่งคั่ง  ( บ้านบางหลังมีเมียถึง 12 คน ลูกเป็นร้อย  บ้านใดมีลูกมากก็ยิ่งดี เพราะจะได้มีแรงงานไว้ใช้ในการเกษตร  ไม่ต้องจ้างผู้อื่น  )

           สมัยก่อนบนเกาะเองก็มีการรบพุ่งกันระหว่างเผ่าอยู่เนืองๆ ดังนั้น จึงมีเชลยศึกหรือบรรดานักโทษถูกนำตัวมาให้เป็นอาหารอันโอชะอยู่เสมอ

     

ลานพิพากษา ( Ambarita )  ซึ่งทำมาจากหินศิลาล้วนๆ อายุมากกว่า 300 ปี ลักษณะเป็นโต๊ะกลมตั้งอยู่ใต้ต้นไทร เก้าอี้มีตะไคร่จับจนเขียวครึ้ม บริเวณนี้กษัตริย์จะถือไม้เท้าอาญาสิทธิ์เป็นสัญลักษณ์ และจะใช้เป็นที่ตัดสินคดีความต่างๆของบ้านเมือง ติดกับลานพิพากษามีคุกไว้จองจำผู้กระทำผิด แต่ถ้าโทษมากถัดจากลานพิพากษาไปอีกหน่อยจะเป็นลานประหาร

แท่งหินสำหรับทรมานนักโทษอยู่ด้านบนซ้าย โต๊ะหินกลมตรงกลาง
สำหรับวางเครื่องมือประหารและิอวัยวะของนักโทษ และแท่งหิน
สำหรับตัดคอนักโทษอยู่มุมบนขวา
สาธิตวิธีผ่าท้องเอาอวัยวะภายใน






สาธิตวิธีตัดคอนักโทษ







       



หากโทษสั่งประหาร จะเริ่มตั้งแต่นำนักโทษประหารจับมานุ่งโสร่งสั้นผืนเดียว พร้อมทั้งปิดตา แล้วนอนบนลานทรมาน จากนั้นเพชรฆาตก็จะค่อยๆนำมีดมาเฉือนมือและเท้าของนักโทษทิ้ง เพื่อดูดพลังชีวิตให้ออกจากร่างกายไป  และกรีดผ่าเอาอวัยวะภายในออกมากองไว้บนโต๊ะวงกลมตรงกลาง หรือการประหารอีกแบบคือ นำนักโทษไปเอาคอพาดแท่งหินแล้วใช้เพชฌฆาตฟันคอขาด  หลังจากนั้นเพชรฆาตจะนำหัวใจและเลือดไปให้กษัตริย์ ซึ่งจะกินหัวใจสดๆ และดื่มเลือดของผู้วายชนม์แล้วจึงนำเนื้อและชิ้นส่วนอวัยวะอื่นๆ มาประกอบอาหารและแจกจ่ายให้ทานกันทั้งหมู่บ้าน ส่วนหัวนักโทษที่ถูกตัดจะนำไปแช่น้ำที่ทะเลสาบ 7 วัน โดยช่วงนี้คนในเผ่าจะถูกห้ามนำน้ำในทะเลสาบมาบริโภค

 

โต๊ะหินที่ใช้ในการกินมนุษย์จะมีทั้งหมด 2 ชุด คนที่นั่งรับประทานที่โต๊ะ ก็จะเป็นกษัตริย์ และคนสำคัญๆ ในเผ่า โดยรอบๆจะเป็นลานดิน และก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ด้านข้างจะเอาไว้วางชิ้นเนื้อและชิ้นส่วนอื่นๆ เพื่อใช้เตรียมประกอบอาหารแจกจ่ายให้กับคนทั้งหมู่บ้าน

Stone Chairs มีอายุราว 300 ปี ประมาณเอาว่าก็น่าจะเทียบได้ช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา

          ทุกวันนี้ถึงแม้ว่าชาวบาตักจะนับถือศาสนาคริสตร์ แต่ก็ยังคงมีความเชื่อเรื่องภูตผี ปีศาจ เวทย์มนต์ หลุมฝังศพชาวบาตักจะสร้างคล้ายแบบบ้าน และแสดงความหมายถึงฐานะทางครอบครัว

 

เดินทางกลับเข้าเมือง Tebing tinggi




รถบริการสาธารณะที่นี่จะมีลักษณะเหมือนสามล้อถีบ
และมอเตอร์ไซด์พ่วงข้างที่ให้บริการทั่วไป
                    Tebing tinggi  เป็นเมืองในภาคเหนือของเกาะสุมาตราระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตรจากเมืองเมดาน มีประชากรประมาณ 175,000 คน  มีแม่น้ำสายเล็กสี่สายไหลจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก คือ แม่น้ำ Padang , แม่น้ำ Bahilang , แม่น้ำ Kalembah และ แม่น้ำ Sibaran ในอดีตคนจีนอพยพมาและจับจองพื้นที่อาศัยบริเวณปากแม่น้ำ Bahilang และในปัจจุบันเข้ามาทำการค้าขายในเมือง จุดเด่นของร้านหรือบ้านที่เป็นตึกแถวของคนจีนที่นี่คือชั้นที่ 3 หรือ 4 จะปล่อยว่างให้นกนางแอ่นเข้ามาอาศัยเพื่อเก็บรังนกนางแอ่นขาย ( ทุก ๆวันประมาณ 5 โมงเย็น จะเห็นนกนางแอ่นบินกลับเข้ารังเป็นฝูง ๆ หลายแสนตัว ส่งเสียงร้องระงมกันทั่วทั้งเมือง ส่วนบริเวณรอบ ๆ ชานเมืองจะเป็นที่พักอาศัยของคนมุสลิม ซึ่งจะประกอบอาชีพทำสวน เงาะ , ส้ม , ละมุด , ทุเรียน , ปาล์ม เป็นส่วนใหญ่

สายน้ำที่ไหลลงมาเป็นน้ำตกและสวนปาล์มระหว่างทาง


     
   


          การจลาจลปฏิรูปประเทศอินโดนีเซียในเดือนพฤษภาคม 1998 , เมืองเทบิงทิงกี้ อยู่ในเขตจากการจลาจลต่อต้านเชื้อชาติจีนด้วยเช่นกัน โดยเกิดจากชุมชนชาวมุสลิมที่ประสพปํญหาทางเศรษฐกิจของประเทศเพราะราคาสินค้าทะยานพุ่งสูงขึ้นมาก จนทำให้มีการรวมตัวกันและทำการปล้นร้านค้าที่ชาวจีนเป็นเจ้าของ  ร้านค้าบนถนนต่าง ๆ ในตัวเมือง  รวมถึงโรงสี , โรงเกษตรที่เจ้าของเป็นคนเชื้อชาติจีนก็ถูกปล้นสะดมเอาผลผลิตไปแจกจ่ายกันในกลุ่ม ส่งผลกระทบต่อร้านค้าทั้งหมดปิดตัวลงทั่วเมือง ซึ่งในช่วง 2 ปีแรกชาวจีนน้อยรายที่จะกลับมาลงทุนเปิดร้านค้าอีก เพราะถูกปล้นสะดมหมดเนื้อหมดตัว คงเหลือเพียงร้านที่เป็นห้องว่างเปล่าทิ้งไว้ และหลังจากเหตุการณ์นั้นในช่วงสามปีหลัง ก็ยังไม่มีใครกล้าเปิดร้านค้าของพวกเขาในเวลากลางคืน  ( แม้กระทั่งขณะในช่วงที่ผมพักอยู่ที่นั่นประมาณ 4 โมงเย็นคนจีนก็เริ่มปิดร้านกลับบ้านพัก จากเมืองที่มีชีวิตเต็มไปด้วยสีสรร คนเดินทางทำมาค้าขายพลุกพล่าน  ก็เริ่มเงียบสงบลง  ตึกรามบ้านช่องของคนจีนส่วนใหญ่จะสร้างเป็นลักษณะตึกแถวแต่ภายในอาจจะกว้างถึง 3 คูหา จะมีประตูเหล็ก 3 ชั้น เป็นแผ่นเหล็กหนาด้านนอกสุด ถัดมาเป็นประตูเหล็กตะแกรงบานพับ และชั้นสุดท้ายจะประตูเหล็กทึบแผ่นบานพับ )

 

          เมืองเทบิง ทิงกี้ เคยเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีจำนวนโรงภาพยนตร์มากมาย  แต่หลังจากการจลาจลปี 1988 จำนวนผู้คนที่ดูภาพยนต์ลดลง โดยเฉพาะรอบค่ำ และนักธุรกิจทางด้านการบันเทิงที่มีชื่อเสียงของที่นี่เสียชีวิตลง ประกอบกับการละเมิดลิขสิทธิ์ VCD , DVD มีจำนวนมากขึ้นทำให้โรงภาพยนต์ต่าง ๆ ปิดตัวลง แม้แต่โรงละคร ที่มีชื่อเสียง “ Deli “ ยังถูกแปรสภาพอาคารกลายเป็นรังนกนางแอ่นในปัจจุบัน

          กลุ่มเพื่อนคนอินโดฯ-จีน ของผมที่นี่หลังจาก 5 โมงเย็นทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะนัดแนะรวมกลุ่มทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นไปพักผ่อน ดูหนัง ร้องเพลงคาราโอเกะ หมุนเวียนกันตามบ้่านสมาชิกในกลุ่มกันแต่ละหลัง  ( ในบ้านของชาวจีนฯ-อินโดที่นี่จะมีเครื่องอำนวยความบันเิิทิงในบ้านครบครัน หรือถ้าเป็นกลุ่มชายล้วนก็จะนัดเดินทางเที่ยวเล่นกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่มักจะกลับเข้าบ้านไม่เกิน 3 ทุ่ม ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรี และเด็ก จะถูกห้ามไม่ให้ออกนอกบ้านช่วงหลัง 5 โมงเย็น หากเดินทางไปเที่ยว หรือพักผ่อนในสถานที่อื่นนอกเขตเมือง ก็มักจะร่วมเดินทางไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ ) ทั้งหมดจะมีการร่วมกิจกรรมกับคนอินโดฯ-จีนกลุ่มอื่นๆเป็นประจำ ทำให้สังคมของคนจีนฯ-อินโด ค่องข้างจะกว้างขวางและรู้จักกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ในสังคม มักไม่ค่อยจะสนิทสนมกับกลุ่มชาวอินโดฯ-มุสลิม อาจเป็นเพราะยังคงจำฝังใจกับการจลาจลในปี 1998 และมีข่าวการก่ออาชญากรรมต่อคนอินโดฯ เชื้อสายจีนอยู่บ้าง

          ระหว่างที่พักอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ อาหารก็เป็นส่วนหนึ่งที่น่าประทับใจ รสชาดอาจจะคล้ายกับอาหารมาเลเซีย โดยเฉพาะอาหารจีน จะแตกต่างกันที่วัตถุดิบที่ใช้ปรุง แต่สำหรับอาหารชาวมุสสลิมที่นี่จะแตกต่างกับที่มาเลเซียค่อนข้างชัดเจน คนพื้นเมืองที่นี่ชอบอาหารรสจัด และเผ็ดร้อนเหมือนกับบ้านเราอยู่มาก ขอแนะนำสักหน่อยก่อนถึงบทความอาหารอินโดนีเซีย ( เรียกน้ำย่อยพอเป็นออเดิฟก่อนครับ ... )

 Saksang or Sa-sang 

           เป็นอาหารพื้นเมืองของชาวบาตัก ทำจากเนื้อหมูหรือเนื้อวัว ( บางร้านอาจจะมีเนื้อควายด้วย ) นำมาย่างแล้วนำชิ้นเนื้อแขวนไว้ ในตู้กระจกหน้าร้าน หากมีลูกค้าสั่ง ก็จะนำมาหั่นเป็นชิ้นและนำไปรวนกับเลือดวัวหรือเลือดควายพอสุก ( บางทียกมาเสริฟเลือดในจานยังแดงแจ๋อย่างกับลาบเลือด ) ทานร่วมกับน้ำจิ้มรสเผ็ด กับข้าวสวย และเสริฟพร้อมกับน้ำซุปต้มกระดูก เป็นอาหารจานโปรดของผมระหว่างที่พักอยู่ที่นั่น








 Lemang 

          เป็นอาหารพื้นเมืองที่ทำจาก ข้าวเหนียว , กะทิ และเกลือและปรุงสุกในกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งรองรอบภายในกระบอกด้วยใบตองป้องกันไม่ให้ข้าวเหนียวจับตัวกับไม้ไผ่  ( กรรมวิธีทำคล้ายกับข้าวหลาม ) แล้วนำตัดออกเป็นแว่น ๆ รับประทานร่วมกับอาหารประเภทเนื้อ เช่นเนื้อย่าง , สเต๊ะ หรือแกงเผ็ด เช่น แกงไก่ รสชาดของข้าวค่อนข้างมัน แต่ไม่หวานเหมือนกับข้าวหลามบ้านเรา และเป็นอาหารประจำสำรับในการฉลองวันสิ้นสุดการถือศีลอดของชาวอินโดฯ-มุสลิมที่นี่













 Kopi 



          เป็นชื่อเรียกกาแฟ ของชาวอินโดฯ วิธีการทำยังเป็นแบบโบราณ ( น่าจะเป็นกาแฟโบราณขนานแท้กว่าที่พบเห็นในบ้านเรา ) คือเขาจะเอากาแฟแบบบดเป็นผงโอเลี้ยงไปชงน้ำร้อน ใส่น้ำตาล ไม่มีการกรองกากของกาแฟ รอให้กากของกาแฟตกตะกอนสักพัก แล้วจึงค่อยรินใส่แก้ว ซึ่งก็แตกต่างจากการทานกาแฟธรรมดาทั่วไป ในระหว่างดื่มลิ้นจะสัมผัสได้ว่ามีส่วนละอองของผงกาแฟลอยตัวอยู่ในน้ำกาแฟด้วย มีกลิ่นหอมของเนื้อกาแฟแบบดิบ ๆ เหมือนกาแฟดำ  และอินโดนีเซียยังขึ้นชื่อเรื่องกาแฟคุณภาพดีระดับโลก โดยเฉพาะ “ กาแฟมูลชะมด “ อีกด้วย  การทานกาแฟที่นี่มักจะทานโรตีร่วมด้วย รวมถึงขนมทานเล่นพื้นเมืองหลากหลายโดยไม่จำกัดประเภท และชนิด ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปกติ

 Indonesian tobacco 



                         






   
ขอกล่าวถึงยาสูบสัญชาติของอินโด ฯ สักหน่อย บุหรี่และซิการ์อินโดนีเซียมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในระดับโลกไม่แพ้รสชาดของกาแฟอินโดนีเซีย โดยตลาดยาสูบอิโดนีเซียใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มีใบยาสูบเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ  บุหรี่และซิการ์ที่นี่จึงมีราคาถูก และมีมากมายหลากหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ดังระดับโลกหรือระดับท้องถิ่น  ( ขณะที่ผมพักอยู่ที่นั่น บุหรี่อเมริกันยอดนิยม Marlboro มีราคาเงินรูเปียแปลงเป็นเงินไทยประมาณซองละ 20 บาท )  การสูบบุหรี่ของชนชาวอินโดฯ.ในที่สารธารณะถือเป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งในรถโดยสาร ร้านอาหาร และทุก ๆ ที่ สามารถพบเห็นผู้สูบบุหรี่ได้ทั่วไป ซึ่งถือว่ากรสูบบุหรี่เป็นวัฒนธรรมอันฝังแน่นกับชนชาวอินโดนีเซีย


       บุหรี่อินโดนีเซียมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานเช่นกัน เริ่มต้นในศตวรรตที่ 19 บุหรี่ในยุคแรกเริ่มใช้เปลือกข้าวโพดแห้งนำมาห่อกับใบยาสูบซึ่งให้มีกลิ่นคล้ายน้ำผึ้ง ต่อมาจึงมีการพัฒนาโดยนำใบกานพลูมาผสมกับใบยาสูบในบุหรี่ทำให้มีกลิ่นหอมและเผาไหม้ช้า  ซึ่งก็เป็นที่นิยมของชนพื้นเมือง โดยกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบุหรี่อินโดนีเซียเป็นรู้จักของชาวต่างชาติเป็นอย่างดี  ( บุหรี่สัญชาติอินโดนีเซียที่มีชื่อเสียงในระดับโลก เช่น Gudang Garam , Sampoerna , Djarum และ Bentoel )

       
 
 น้ำผลไม้ปั่น 


          จากการที่ภูเขาไฟทั้งที่สงบและยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันหลายลูก  เถ้าจากภูเขาไฟซึ่งจากการระเบิดที่ตกลงมาทับถมกันในอดีต ทำให้หน้าดินของเกาะสุมาตรามีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผักผลไม้ต่าง ๆ ดังเช่นพื้นที่เมืองแห่งผลไม้ “ บราสตากี้ “ ดังที่ได้กล่าวมา ผลไม้ตามฤดูกาลของที่นี่จึงมีหลากหลาย เนื้อแน่นรสจัด มีคุณภาพสูง จึงเหมาะอย่างยิ่งกับการทำเป็นน้ำผลไม้

          น้ำผลไม้ปั่นที่นี่ผมถือเป็นสุดยอดแห่งหนึ่งที่ผมได้ทาน โดยเขาจะนำผลไม้ที่เราต้องการ เช่น สัปรด แตงโม ส้ม กล้วย  สละ มะม่วงหรืออะโวคาโด ประมาณ 3 /4 ของโถปั่นน้ำผลไม้ แล้วนำลงใส่เครื่องปั่น และใส่น้าแข็ง + น้ำเชื่อมเพียงเล็กน้อยลงไปปั่น น้ำผลไม้ที่ได้จึงมีลักษณะข้นเกือบจะเป็นครีมเหลว ๆ เย็นพอประมาณ ซึ่งจะได้รับรสชาดของผลไม้อย่างเต็มเปี่ยม เครื่องดื่มเมนูโปรดที่ได้รับความนิยมมากคือ “ น้ำอะโวคาโดปั่น ” ซึ่งจะผสมน้ำช๊อคโกแลตข้นและบางที่อาจจะมีวิปครีมเพิ่มด้านบนด้วย อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ อุดมไปด้วยไขมันชนิดดี , วิตามินซี , วิตามินอี , โพแทสเซียม และเหล็ก ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดควาเสี่ยงของโรคหลอดเลือดในสมอง และโรคหัวใจวายอีกด้วย



อ่านต่อ " 6.อุรัง อุตัง ที่ บูกิตราวัง" ครับ...
http://anutjack3.blogspot.com/2014/03/6.html

















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น